Single Origin คืออะไร ?
หลายๆคนอาจจะแค่คุ้นหู หลายๆคนอาจจะงง แต่ก็มีอีกหลายๆคนที่คำนี้เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน
Single Origin คือกาแฟจากแหล่งปลูกเดียว ที่จะเลือกนำมาใช้คั่วกาแฟนั่นเอง
หากแต่คำนี้มักจะใช้ในการดื่มกาแฟแบบ Slow bar มากกว่า Espresso เพราะจุดประสงค์ของการดื่มกาแฟจากแหล่งปลูกเดียว ก็เพื่อว่าจะได้รับรู้ว่า รสชาดของกาแฟแต่ละแหล่งปลูกนั้น มีเอกลักษณ์อย่างไรบ้าง มีส่วนน้อยมากที่จะเอามาเบลนเพื่อเพิ่มรสและกลิ่นให้ซับซ้อนขึ้น เหมือนเวลาการดื่มเอสเปรสโซ่ ที่มักจะต้องการรสชาติหลากหลายกว่า รสเดียวโดดๆ
ใช้ชงเอสเปรสโซ่ได้มั๊ย ?
ได้ครับ ไม่มีอะไรผิด เพียงแค่ความซับซ้อนของรสชาด มันมีแค่อย่างเดียว แต่ชัดกว่าการดื่มแบบ Slow bar เยอะแยะเลยครับ เปรี้ยวก็เปรี้ยวจัด หวานก็หวานจัด
ทำไม Single Origin ส่วนใหญ่ถึงแพง
ผู้อ่านคงเคยได้เห็นถุงกาแฟจากประเทศนอก ทั้ง Africa , Central America
ขายกัน ถุงละ 450-500 หรือแพงกว่านั้น ในจำนวนน้ำหนักกาแฟเพียง 250 g
โดยทั่วไปนั้น เมล็ดสารกาแฟ ก็ราคาแพงอยู่แล้ว และในสารกาแฟก็ยังมีความชื้นที่เป็นน้ำหนักของมันอยู่ ฉะนั้น กาแฟสาร 1 กิโลกรัม พอคั่วเสร็จแล้ว น้ำหนักเหลือแค่ 700-800 กรัมเท่านั้นเองครับ น้ำหนักมันจะเบาขึ้น
แล้วทำไมสารกาแฟไทยยังคั่วขายกิโลละ 450 ได้ล่ะ ?
เพราะการโปรเซสและปลูกกาแฟ คนละเป้าประสงค์กันครับ เมล็ดกาแฟไทยยังใช้เป็นพันธุ์ คาร์ติมอร์เป็นหลัก มันเกิดจากการกลายพันธุ์ของกาแฟอราบิก้า แล้วนำไปผสมกับโรบัสต้า ให้มันปลูกง่าย ทนต่อโรค แต่ข้อเสียมันคือ รสชาดไม่ค่อยดีครับ และปลูกเยอะมาก การโปรเซสอาจจะธรรมดา ราคามันจึงไม่แพงมากเทียบกับกาแฟไทยที่ปลูกพันธุ์ดีเช่น ทิปปิก้า ชวา เกอิชา เมล็ดกาแฟจากพันธุ์เหล่านี้ย่อมให้รสกาแฟที่ดีกว่า แต่อาจจะมีข้อเสียสำหรับชาวสวนที่ตามมาคือ ดูแลยากขึ้น จึงสามารถขายในราคาที่แพงได้ และตลาดกำลังต้องการด้วยครับ และยิ่งนำไป Process ดีๆเช่นกับทำกระบวนการตากแห้ง หรือแบบเปียกพิเศษ อาจจะทำให้กาแฟมรเอกลักษณ์มากขึ้น ยิ่งสามารถขายในราคาสูงได้ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ขึ้นอยู่กับคนปลูก และคน Process ซึ่งอาจจะเป็นคนเดียวกัน หรือคนละคนก็ได้ครับ เพราะฉะนั้นเวลาเจอกาแฟดีๆที่ขายสมราคาและรสชาด ไม่ต้องไปสงสัยหรอกครับว่าแพงตรงไหน ผลประโยชน์สุดท้ายตกไปหาคนปลูก เค้าจะได้มีกำลังใจทำกาแฟดีๆให้เราดื่มอีกหลายๆฤดูกาลครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น